ศาลพิพากษาจำคุก 37 ปี “ไอ้โก้” ไม้เบสบอลฆ่า ไฮโซเชอรี่ ก้มกราบพ่อเหยื่อกลางศาล ก่อนเจ้าหน้าที่คุมตัวกลับเรือนจำ พ่อลั่นไม่ให้อภัย อยากให้รับโทษมากกว่านี้
จากกรณี น.ส.ธิติมา ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ หรือ เชอรี่ อายุ 39 ปี นักธุรกิจสาวชื่อดัง ถูกฆาตกรรมโดยการใช้ไม้เบสบอลทุบจนเสียชีวิต ภายในคอนโดมีเนียมแห่งหนึ่ง ย่านประดิษฐ์มนูธรรม แขวง/เขตลาดพร้าว กทม. พบศพเมื่อวันที่ 30 ก.ค.2561 ต่อมาเจ้าหน้าที่ออกหมายจับ นายอัศยา ชัยภาหรือ โก้ อายุ 33 ปี ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและลักทรัพย์ในเวลากลางคืน เมื่อวันที่ 31 ส.ค.2561 หลังหลบหนีข้ามไปกัมพูชา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 14 พ.ย. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ห้องพิจารณา 907 ศาลอ่านคำพิพากษาคดีฆ่า น.ส.ธิติมา ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ หรือ เชอรี่ อายุ 39 ปี นักธุรกิจสาวชื่อดัง หมายเลขดำ อ.3493/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอัศยา หรือ โก้ ชัยภา เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, ทำให้เสียหายซึ่งเอกสารของผู้อื่น มาตรา 188, ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อประโยชน์ในการเบิกถอนเงินสดหรือชำระสินค้า 269/5, 269/7 และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน
โดยอัยการโจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2561 ระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 26-27 ก.ค.2561 เวลากลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยใช้ไม้เบสบอลเหล็กขนาดยาว 70 เซนติเมตร เป็นอาวุธตีที่ศีรษะ ใบหน้า ลำตัว และสะบักขวา ของน.ส.ธิติมา ที่อวัยวะสำคัญหลายครั้ง ทำให้น.ส.ธิติมามีบาดแผลที่ศีรษะ ใบหน้า กราม สะบักขวา กะโหลกศีรษะแตก เลือดคั่งในสมอง กระดูกซี่โครงด้านขวาหักจน ถึงแก่ความตาย
หลังก่อเหตุจำเลยได้ลักทรัพย์ของผู้ตาย เป็นรถยนต์ เมอร์เซเดสเบนซ์, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องประดับ กระเป๋าแบรนด์เนมของผู้ตายไป มูลค่า 1,080,000 บาท รวมทั้งเอกสารบัตรเดบิต ธนาคารออมสิน ของผู้ตายไปใช้ประโยชน์ในการเบิกถอนเงิน หรือชำระสินค้าบริการอื่น หลบหนีไปประเทศกัมพูชา เหตุเกิดในห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่งย่าน ซ.ประดิษฐ์มนูธรรม 19 แขวง-เขตลาดพร้าว กทม. โดยจำเลยให้การรับสารภาพ
วันนี้ ศาลเบิกตัวนายอัศยา จำเลย จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมาฟังคำพิพากษา ขณะที่ นายอำนวย วิชัยโชติ พ่อของไฮโซเชอร์รี่ ในฐานะโจทก์ร่วม เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยเช่นกัน
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบแล้ว จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นหรือไม่ เห็นว่าจำเลยใช้ไม้เบสบอล ซึ่งเป็นท่อนเหล็กขนาดใหญ่ตีศีรษะผู้ตาย ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ จนทำให้กะโหลกศีรษะแตกหลายเสี่ยง ย่อมเล็งเห็นผลมีเจตนาฆ่า
ส่วนที่จำเลยอ้างเป็นการบันดาลโทสะ เนื่องจากผู้ตายด่าทอและพาดพิงบิดามารดาจำเลย และที่ผ่านมามีปากเสียงทะเลาะวิวาทบ่อยครั้ง เห็นว่า การบันดาลโทสะต้องเกิดจากการกระทำที่ข่มเหงอย่างร้ายแรงหรือไม่เป็นธรรม ในวันเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายอยู่ในห้องด้วยกัน 3 ชั่วโมง เชื่อว่าไม่น่ามีปากเสียงทันทีที่เข้าห้องพักตามที่จำเลยอ้าง
กรณีนี้ไม่อาจถือว่าผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรง โดยสาเหตุน่าจะมาจากความหึงหวง หรือจำเลยขอเงินผู้ตายไปชำระหนี้พนัน เพราะหลังเกิดเหตุจำเลยหลบหนีเข้าบ่อนประเทศกัมพูชา การกระทำของจำเลยไม่ใช่เหตุบันดาลโทสะ
ส่วนที่จำเลยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบไปซื้อสินค้าและลักทรัพย์ เมื่อจำเลยถูกจับกุมพบมีทรัพย์สินของผู้ตายหลายรายการ และจำเลยก็ให้การว่านำเงินไปใช้จ่ายที่ประเทศกัมพูชา ถือเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุกตลอดชีวิต, ลักทรัพย์ จำคุก 3 ปี และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน
แต่การนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก 33 ปี 4 เดือน, ลักทรัพย์ จำคุก 2 ปี และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ จำคุก 2 ปี รวมจำคุกจำเลย 37 ปี 4 เดือน พร้อมริบของกลาง
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ขณะเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวนายอัศยา จำเลยออกจากห้องพิจารณากลับไปคุมขัง นายอัศยาได้ก้มลงกราบขอขมานายอำนวย บิดาของไฮโซเชอรี่ที่เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วย ขณะที่นายอำนวย แสดงท่าทีนิ่งเฉย
นายอำนวย เปิดเผยความรู้สึกหลังฟังคำพิพากษาว่า พอใจในคำพิพากษาระดับหนึ่ง แต่อยากให้คนร้ายได้รับโทษหนักกว่านี้ อยากจะอุทธรณ์คดีต่อไป ไม่ให้อภัยเป็นการกระทำที่เกินไป ส่วนความเป็นอยู่ของครอบครัวนั้น ที่ผ่านมาก็พยายามทำใจกับเรื่องที่เกิดมาแล้ว