แจ้งจับ สาวเจ้าของรร.สอนการแสดง อ้างชื่อผกก.ดัง ตุ๋นมัดจำถ่ายโฆษณาที่ญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ กองปราบปราม นางณัฐชยาญ์ เบอร์ทัน อายุ 47 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ พร้อมผู้เสียหายรายอื่นๆประมาณ 10 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ศราวุธ โชติสุวรรณ รอง ผกก.(สอบสวน) กก.4 บก.ป.

เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.โรส (นามสมมุติ) เจ้าของสถาบันสอนการแสดงแห่งหนึ่ง หลังแอบอ้างว่าเป็นโมเดลลิ่งป้อนงานให้กับผู้กำกับหนังชื่อดังต่างๆ

ก่อนจะหลอกเอาเงินค่าประกันจากผู้เสียหาย โดยนำหลักฐานเป็นสลิปการโอนเงินและข้อความบทสนทนามามอบให้กับพนักงานสอบสวนใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณา

นางณัฐชยาญ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้รับการแนะนำจากเพื่อนว่าสถาบันสอนการแสดงดังกล่าวมาเปิดที่ เชียงใหม่ จึงพาบุตรชายไปสมัครเรียนปรากฏว่าหลังเข้าไปเรียนได้สักระยะ น.ส.รัตน์ ก็เข้ามาทำทีตีสนิทกับตนก่อนจะอ้างว่ารู้จักกับผู้กำกับหนังชื่อดังและบุคคลในวงการบันเทิงอีกหลายคน สามารถผลักดันให้บุตรชายของตนเข้าวงการบันเทิงได้

รวมถึงยังบอกอีกว่าบุตรชายตนเป็นเด็กลูกครึ่ง บุคลิกรูปร่างดี สนใจจะรับงานถ่ายโฆษณาผลิตภัณฑ์น้ำดื่มยี่ห้อหนึ่งที่เมืองซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่นหรือไม่ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องยอมจ่ายเงินในจำนวนครึ่งหนึ่งของเงินค่าตัว หรือเงินค่าจ้างแต่ละงานเพื่อเป็นค่าประกันการทำงาน

แต่จะคืนเงินส่วนนี้ให้ พร้อมกับจ่ายเงินค่าตัวเมื่องานเสร็จสิ้น ด้วยความที่อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี จึงตอบตกลงรับงานถ่ายโฆษณาดังกล่าว และยังรับงานเดินแบบที่ต่างๆล่วงหน้าจำนวนหลายงาน พร้อมกับจ่ายเงินค่าประกันงานต่างๆให้ไปกว่า 8 หมื่นบาท

นางณัฐชยาญ์ กล่าวต่อว่า กระทั่งเมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ถึงกำหนดที่จะต้องเดินทางไปที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อไปถ่ายโฆษณาชิ้นแรก ปรากฏว่าตนและบุตรชายไม่สามารถเดินทางไปได้ เนื่องจากน.ส.โรส ไม่ได้จองตั๋วเครื่องบินตามที่กล่าวอ้างไว้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นได้เรียกเก็บเงินกับตนเพิ่มเติมไปแล้ว 4 หมื่นบาท เพื่อเป็นค่าเดินทางและค่าที่พัก จึงเริ่มรู้สึกผิดปกติ

จึงตรวจสอบจนทราบความจริงว่า ผลิตภัณฑ์น้ำดื่มดังกล่าวไม่ได้มีการว่าจ้างบุตรชายตนให้ไปเป็นพรีเซ็นเตอร์แต่อย่างใด รวมถึงงานเดินแบบต่างๆก็ไม่ได้มีการจัดงานขึ้นจริง เป็นเพียงการกุเรื่องขึ้นมาเพื่อหลอกเอาเงินค่าประกันจากตน

นอกจากนี้ยังทราบด้วยว่าที่ผ่านมายังมีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อถูกหลอกในลักษณะเดียวกับตนอีกหลายราย จึงรวมตัวกันมาเข้าแจ้งความกับทางกองปราบฯดังกล่าว

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้ร้องไว้เป็นหลักฐาน ก่อนนำไปพิจารณาควบคู่กับหลักฐานต่างๆ ก่อนจะเสนอให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป